วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log in class
Week 3

Tense
Tense คือ เวลา มีคำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษจะบอกการกระทำให้ทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นแล้วหรือจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วในอดีตและยังคงกำลังดำเนินอยู่ต่อในปัจจุบัน คำกริยาในประโยคภาษาไทยไม่บอกกาล ในบางกรณีอาจดูเวลาของการกระทำได้จากคำขยายกริยา เวลาแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยมักจะมีปัญหาเรื่องเวลา ประโยคในภาษาอังกฤษที่ใช้ต่างกัน อาจจะแปลเป็นภาษาไทยได้เหมือนกันคล้ายกับว่าไม่มีข้อแตกต่างกันเลย ทำให้คำแปลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง สิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการแปลภาษาอังกฤษคือ กาลหรือเวลา นอกจากนั้นยังมีเรื่องของโครงสร้าง (Structure) ความหมาย (Meaning) การออกเสียง (Phonology) ซึ่งจะต้องแม่นยำในเรื่องของโครงสร้าง องค์ประกอบทั้งหมดนั้นจะไปด้วยกัน ถึงจะมีประสิทธิภาพในผลงาน ในการที่จะเป็นครูภาษาอังกฤษสิ่งที่ต้องแม่นยำคือ โครงสร้างทางภาษาและการทำวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพและศักยภาพ (Teacher as Researcher) ต้องทำวิจัยเป็น ถูกต้องและสมบูรณ์ ซึ่งการทำวิจัยจะเป็นพื้นฐานในการศึกษา ฉะนั้นหากครูไม่เน้นในด้านเนื้อหาการวิจัย ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ สิ่งที่สำคัญของเนื้อหาคือ tense ที่มีผลต่อการแปลมากที่สุด ที่จะทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากต้นฉบับ



Tense ประกอบไปด้วย 12 tense ซึ่งจะบอกการกระทำให้ทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ในแต่ละประเภทก็จะต่างกันในเรื่องโครงสร้างของประโยค คำกริยาที่ใช้และความหมาย แต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งการแปลให้เป็นภาษาไทยนั้น ผู้แปลจะต้องมีความชำนาญในเรื่องต่างๆดังนี้ คือ structure (syntax) เกี่ยวกับโครงสร้างทางภาษา ผู้แปลจะต้องแม่นยำในเรื่องของ patterns tense แต่ละประเภท ศึกษาในเรื่องของรูปแบบทางโครงสร้างของภาษา ต่อมาคือ meaning (semantic) เกี่ยวกับความหมายของภาษา ในความเป็นจริงคำหนึ่งคำอาจมีหลายความหมาย แล้วแต่ในบริบทของประโยค เช่น ความหมายโดยตรง คือ ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจตรงกัน ส่วนความหมายโดยนัย คือ ผู้พูดอยากให้เข้าใจเหมือนกับที่ตัวเองพูด คือมีความเป็นนัยที่แฝงด้วยความหมายอื่นๆ ซึ่งผู้ฟังต้องตีความให้เข้าใจว่าผู้พูดต้องการสื่อความหมายโดยตรงหรือความหมายโดยนัยในการสื่อสาร และ phonology linguistic เกี่ยวกับการออกเสียง ในภาษาอังกฤษ การออกเสียงถือเป็นเรื่องสำคัญในการสื่อสาร เพราะการออกเสียงจะมีผลต่อความหมายของคำหรือประโยคนั้นๆ เช่น ถ้าเราออกเสียงหรือเน้นเสียงผิดตำแหน่ง ความหมายก็จะบิดเบือนไป ดังนั้นที่สามข้อที่กล่าวมาจึงมีความสัมพันธ์กัน จะต้องควบคู่ไปด้วยกันจะทำให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีคุณภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญคือ เน้นความชัดเจนของโครงสร้างเรื่อง tense โครงสร้างของ tense ทำให้สำคัญมากในการใช้ภาษาอังกฤษ จะมีโครงสร้างหลักการใช้ ข้อจำกัดและข้อยกเว้น สิ่งเหล่านี้จะต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะเมื่อทำการวิจัยในฉบับภาษาอังกฤษสิ่งที่สำคัญมากคือเรื่อง tense นั่นเอง การที่จะเป็นครูภาษาอังกฤษในอนาคต (Future Teacher) การวิจัยถือเป็นเรื่องสำคัญ จากแผนภาพดังนี้

จากรูปสามเหลี่ยมสามารถอธิบายได้ว่า การศึกษาในระดับต่างๆ จะเกี่ยวข้องกับการทำวิจัย เนื่องจากการทำวิจัยถือเป็นการสังเคราะห์ วิเคราะห์ สร้างสรรค์ และบูรณาการองค์ความรู้เข้าด้วยกัน การวิจัยจะต้องใช้ความสามารถในการศึกษาเป็นอย่างมาก ดังนั้นครูก็เปรียบเสมือนนักวิจัย ความรู้ที่ได้จะต้องนำมาประยุกต์ให้เข้ากับการเรียนการสอน จะต้องเป็นครูภาษาอังกฤษที่มีความรู้แน่นในด้านวิชาการและกิจกรรม วิจัยที่เป็นเนื้อหาภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเนื้อหาที่ถูกต้องในเรื่องของการใช้ภาษาที่ถูกต้อง
               อนึ่ง tense ประกอบด้วย 12 tense ซึ่งในแต่ละ tense จะมีโครงสร้างแตกต่างการออกไป เช่น Present Simple Tense จะมีโครงสร้างคือ Subject + Verb1 ซึ่งหลักการใช้การเติม s ,es การใช้ tense ในภาษาอังกฤษจะมีความซับซ้อนมีกฎเกณฑ์และวิธีการใช้ต่างๆ หากเลือกใช้ผิด ก็จะส่งผลต่อการแปลความหมายที่ผิดเพี้ยนไป การแปลภาษาอังกฤษให้กลายมาเป็นภาษาไทยจะต้องใช้ภาษาที่สละสลวย ไพเราะ งานแปลก็จะมีคุณภาพมากขึ้น การแปลจะต้องประกอบไปด้วย Structure Meaning Phonology ทั้งสามตัวนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กัน งานแปลก็จะออกมามีประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น